อารมณ์ของคนเราบางครั้งก็ไม่จำเป็นจะต้องมีเรื่องเศร้าหรือมีเรื่องให้คิดมาก แต่อาจรู้สึกเหงาๆ ขึ้นมาได้เมื่อต้องทำงานอยู่คนเดียวหรืออยู่ในบรรยากาศและสถานที่ซึ่งไม่คุ้นเคย การว่างงานหรืออยู่ในช่วงพักนานๆ ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนเรารู้สึกเหงาขึ้นมา อาการเหล่านี้มีวิธีแก้หรือไม่อย่างไร เรามาหาคำตอบไปพร้อมๆกัน

อาการเหงาเกิดจากอะไร

อาการเหงาเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่มีสาเหตุและลักษณะอาการที่แตกต่างกัน เช่น อาการเหงาของผู้สูงอายุจะคล้ายกับความเหงาของเด็กเล็กๆ ส่วนใหญ่เกิดจากการอยู่คนเดียวหรืออยู่ห่างไกลพ่อแม่ลูกหลาน ส่วนความเหงาของคนวัยทำงานอาจเกิดจากบรรยากาศในการทำงานหรืออยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งแตกต่างจากคนวัยหนุ่มสาวหรือวัยรุ่นที่อาการเหงาส่วนหนึ่งเกิดจากความรักไม่สมหวัง เป็นอาการของคนอกหัก

วิธีแก้เหงา

เมื่อคุณรู้สึกเหงา จะต้องหาสาเหตุของความเหงาให้ได้เสียก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงหรือเลือกวิธีแก้เหงามาใช้ให้เหมาะกับลักษณะอาการของแต่ละบุคคล เช่น

1. หลีกเลี่ยงการอยู่คนเดียว เพราะคุณจะรู้สึกอ้างว้างเวลามองไปรอบๆ ตัวคุณแล้วไม่มีใคร อาจจะโทรศัพท์คุยกับพ่อแม่ เพื่อน หรือชวนเพื่อนมาปาร์ตี้ที่บ้าน
2. ทำกิจกรรมยามว่าง เพื่อให้เรารู้สึกเพลิดเพลิน หรือช่วยให้ความคิดและจิตใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำจนลืมความเหงาไปได้ เช่น ทำงานศิลปะ รดน้ำต้นไม้ ให้อาหารปลา ตัดแต่งกิ่งต้นไม้ ทำความสะอาดบ้านห้องนอน หรือฟังเพลงสนุกๆ
3. เล่นกับสัตว์เลี้ยง การมีสัตว์เลี้ยงไว้ในบ้าน ไม่เพียงช่วยป้องกันรักษาทรัพย์สินจากขโมยหรือโจรผู้ร้ายได้เท่านั้น แต่สัตว์เลี้ยงยังเป็นเพื่อนคลายเหงาที่ดีอีกด้วยนะ
4. ออกไปช้อปปิ้ง การเลือกซื้อสิ่งของนอกจากทำให้รู้สึกผ่อนคลายและเพลิดเพลินแล้ว ยังได้ปรับเปลี่ยนบรรยากาศเดิมๆ ช่วยคลายความเหงาได้ดี
5. เขียนบันทึกหรือเขียนเรื่องราวบอกเล่าเรื่องราวที่สนใจ ประทับใจ ลงในสมุดบันทึกหรือเขียนลงในสื่อออนไลน์เพื่อให้เพื่อนๆ ได้มีส่วนร่วมได้แสดงความคิดเห็น ทำให้ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ นอกจากคลายเหงาแล้ว ยังได้มิตรภาพดีๆ จากสังคมรอบตัวอีกด้วย
6. การออกกำลังกาย เป็นกิจกรรมที่ทำได้หลากหลายรูปแบบ เช่น การออกกำลังกายในร่ม ออกกำลังกายกลางแจ้ง ช่วยส่งผลดีต่อสุขภาพทำให้คลายเหงาแล้วยังได้พบเจอผู้คนได้พูดคุย อาจทำให้ได้แนวคิดมุมมองดีๆ ที่ช่วยให้เราหายเหงาได้

ความเหงาเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราต้องหาสาเหตุให้เจอ แล้วเลือกวิธีเหล่านี้ไปใช้ให้เหมาะสม ความเหงาก็จะเป็นเพียงความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็หายไปโดยไม่มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคนเรา

The post 6 วิธีแก้เหงาของคนโสด อารมณ์เศร้า อยู่คนเดียวได้อย่างสตรอง appeared first on คลังปัญญา.คอม.

นำธรรมะเข้ามาช่วย

ธรรมะเป็นที่พึ่งสำหรับคนที่มีปัญหาแฟนนอกใจได้เป็นอย่างดี เมื่อเราคิดถึงธรรมะข้อหนึ่งข้อใดก็จะเกิดปัญญาทำให้มีสติยั้งคิดว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำอะไรควรปล่อยวาง การมองเห็นโลกตามความเป็นจริงก็จะช่วยคลี่คลายออกจากความทุกข์ที่เกิดจากแฟนนอกใจได้

กลับมาดูแลตัวเอง

หลายคู่ที่แฟนนอกใจ ส่วนหนึ่งมาจากการปล่อยเนื้อปล่อยตัวการไม่สนใจตัวเองเหมือนดังก่อน ทำให้อีกฝ่ายอาจหันไปมอง หญิงอื่นชายอื่นได้ การกลับมาดูแลตนเองด้วยการ ทำผมเผ้าให้ดี ดูแลผิวพรรณ แต่งกายให้สะอาด รวมถึงการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ล้วนนำมาซึ่งความรู้สึกชื่นชมตนเองก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อเราชื่นชมตนเองคนอื่นก็จะมองด้วยความชื่นชมด้วยเช่นกัน

พูดคุยกับคนที่ไว้ใจได้

เมื่อปัญหาสุมอกอย่าเก็บไว้คนเดียว เพราะมันจะรอวันระเบิดในวันใดวันหนึ่งได้ ให้คุณพูดคุยปัญหานี้กับบุคคลที่ไว้ใจได้ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ เพื่อนสนิท หรือผู้ให้คำปรึกษาปัญหาครอบครัว เพื่อให้ปัญหาได้ระบายออกไป เป็นการหาทางออกที่เหมาะสมและทำให้เกิดสติปัญญา ทำให้มองโลกในมุมใหม่ อย่างน้อยคุณก็สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างสงบ

มองในแง่ดี

เปลี่ยนความคิดทำร้ายให้กลายเป็นความคิดดี เมื่อพบความจริงว่าความคิดแค้นเคืองย่อมปะทุขึ้น กลายเป็นโมโหอยากจะเตรียมมีด เตรียมปืนไปจัดการตัวปัญหาให้สิ้นซาก ซึ่งหลายคนเปลี่ยนความคิดนี้ด้วยความคิดที่ดีกว่า เช่น เขาไม่ได้มีคุณค่าถึงขนาดนั้น หรือทำอะไรลงไปตัวเองก็ติดคุกแถมอีกฝ่ายก็หน้าชื่นตาบาน หรือปล่อยเขาไปเถอะได้แต่ตัวไม่ได้หัวใจ เขาอาจจะมีกรรมสัมพันธ์กันมาก่อน การห้ามอาจไม่ทำให้อะไรดีขึ้น เป็นต้น ความคิดดีเหล่านี้จะทำให้ใจคุณสงบและพบว่าสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปเช่นกัน

ปัญหาแฟนนอกใจให้แก้ที่ใจแก้ที่ความคิดของตนเองก่อน โดยการประยุกต์ใช้วิธีการดังกล่าวข้างต้น จะทำให้คุณเกิดสติมีปัญญา แล้วสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจพลิกกลับมาเป็นผลดีที่คุณอาจจะคาดไม่ถึงก็เป็นได้

The post แฟนนอกใจ ทําอย่างไรดี จะให้อภัยหรือแก้แค้น? appeared first on คลังปัญญา.คอม.

สำหรับในโลกยุคปัจจุบัน ทุกอย่างตั้งแต่เราตื่นนอนขึ้นมาจนกระทั่งหลับลงไปนั้น ล้วนรวดเร็วจนบางครั้งเราไม่สามารถจดจ่อกับอะไรได้นานอีก ๆ ต่อไปแล้ว วันนี้เรามีวิธีฝึกสมาธิง่าย ๆ มาให้ลองทำกันดูนะคะ

การฝึกสมาธิไม่ได้เป็นเรื่องของชาวพุทธเท่านั้น แต่การฝึกสมาธิเป็นเรื่องสากลที่สามารถทำได้ทุกเพศ ทุกวัย และทุกศาสนา การฝึกสมาธิทำให้เราสามารถจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น และมีความคิดสร้างสรรค์ได้มากขึ้นค่ะ วิธีการเบื้องต้นในการฝึกมีอะไรบ้าง ลองดูกันเลยค่ะ

วิธีฝึกสมาธิ

อยู่ในท่าที่สบาย กำลังดี

บางครั้งการบอกว่าอยู่ในท่าที่สบายที่สุด บางคนก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นนอนได้ไหม ที่จริงการนอนสมาธิก็ทำได้ค่ะ แต่จะยากตรงที่ เราจะประคองไม่ให้ตัวเองหลับได้ยากค่ะ เพราะฉะนั้นเอาที่พอดี ๆ ไม่ตึงเกินไปและไม่สบายเกินไป คือท่าทางที่สบายที่สุดค่ะ

ไม่จำเป็นต้องปิดตาเสมอไป

การทำสมาธิเราสามารถเปิดตาได้ค่ะ เพียงแต่อย่าให้ใจวอกแวกไปกับสิ่งที่มองเห็นเท่านั้นเอง

จดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ

อันดับแรกเราต้องกำหนอดรู้ก่อนว่า นี่คือหายใจเข้า นี่คือหายใจออก รู้สึกตัวอยู่เสมอว่าตอนนี้กำลังหายใจเข้าอยู่ และนี่กำลังหายใจออกอยู่ จะเป็นการทำให้ใจไม่วอกแวกไปคิดถึงสิ่งอื่นนอกจากลมหายใจค่ะ

หากมีสิ่งเร้าอื่นเกิดขึ้น ให้รับรู้

หากว่าในขณะที่กำลังนั่งนั้นมีเสียงอื่นเกิดขึ้น ให้เราตั้งสติ รู้ว่านั่นคือเสียงอะไร เช่น เสียงไก่ขัน ก็รับรู้ว่านั่นคือเสียไก่ขัน และไม่ต้องคิดต่อว่า ไก่ขันทำไม เอ๊ะ ไก่มีกี่ตัว ขันเสร็จแล้วมันจะทำอะไรต่อ ให้หยุดจิตไว้ที่คำว่า “อ้อ ไก่ขัน” แค่นั้น แล้วก็กลับมาจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจต่อไป หากเกิดเสียงขึ้นอีก ให้กำหนดรู้ว่า อ้อ เสียงนั่น แล้วกลับมาจดจ่อที่ลมหายใจต่อ

ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จะทำให้จิตของเราไม่ไปนึกถึงเรื่องอื่น ๆ สมาธิก็จะเกิดขึ้น

• ระยะเวลาการทำสมาธิ ถ้าหากเพิ่งเริ่มต้นก็สามารถเริ่มจากวันละ 10 นาทีก่อนแล้วจึงค่อย ๆ เพิ่ม
• เลือกสถานที่ทำสมาธิที่ไม่ทำให้ฟุ้งซ่านมากเกินไป จริงอยู่ที่ว่าถึงแม้จะมีสิ่งเร้า เราก็สามารถทำสมาธิได้ แต่ควรเลี่ยงสถานที่ ๆ มีสิ่งเร้ามากเกินไปจะดีกว่า
• เมื่อเรานั่งด้วยความรู้สึกสบาย รู้สึกสงบ เราก็จะอยากนั่งต่อไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น ทำด้วยความสบายค่ะ อย่ากดดัน อย่างเร่งอะไรทั้งนั้น แล้วการฝึกสมาธิก็จะเป็นเรื่องสนุกไปเองค่ะ

วิธีทำสมาธิเบื้องต้นนี้ไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะคะ ลองทำดูพร้อมใจสบาย ๆ แล้วจะเห็นผลที่ดีตามมาแน่นอน

The post วิธีฝึกสมาธิอย่างง่ายๆ การนั่งสมาธิที่ถูกต้อง นั่งอย่างไรให้ได้ผล appeared first on คลังปัญญา.คอม.

การออมเงิน คือ การแบ่งเงินส่วนหนึ่งจากรายได้ของคุณที่ได้หักค่าใช้จ่ายแล้ว นำมาเก็บไว้เพื่อนำไปใช้จ่ายในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้สูงอายุ หากคุณมีนิสัยรักการออม รู้จักเก็บหอมรอมริบเงินทีละเล็กทีละน้อยก็จะส่งผลให้คุณมีเงินและทรัพย์สินพอกพูนยิ่งขึ้น มีเงินใช้ในยามฉุกเฉินหรือเป็นเงินค่ารักษาพยาบาล และมีเงินลงทุนเพื่อต่อยอดในอนาคต ซึ่งแต่ละวัยจะมีแหล่งรายได้ที่ต่างกันออกไป ดังนี้

รายได้ของแต่ละวัย

– วัยเรียน : น้องๆ หนูๆ จะมีรายได้มาจากค่าขนมที่ได้รับจากผู้ปกครอง บางคนอาจได้เป็นรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน หากโตหน่อยอย่างวัยมัธยมและอุดมศึกษาก็มีรายได้เสริมจากการทำงาน part time หรือเงินรางวัลจากการเข้าประกวดต่างๆ ของทางโรงเรียน หรือกิจกรรมส่งเสริมความรู้ของภาครัฐและเอกชน

– วัยทำงาน : รายได้หลักๆ ของคนวัยทำงานนี้จะมาจากเงินเดือนเป็นส่วนใหญ่ และได้รับเงินจากสวัสดิการต่างๆ เช่น เบี้ยขยัน เงินโอที และโบนัส บางคนนำเงินไปลงทุนเพื่อให้ได้ดอกเบี้ย เช่น การฝากเงินกับธนาคาร เล่นหุ้น หรือซื้อกองทุน เป็นต้น อาจจะมีบ้างเล็กๆ น้อยๆ ที่มาจากรายได้เสริมนอกเวลางาน เช่น การขายของทางอินเตอร์เน็ต หรือตลาดนัด

– วัยผู้สูงอายุ : สำหรับวัยนี้ ถือว่าเป็นบั้นปลายชีวิต รายได้ที่ได้รับก็ลดลงเพราะเป็นวัยเกษียณอายุงาน แหล่งเงินได้มาจากเงินบำเหน็จบำนาญซะส่วนใหญ่ หรือบางท่านก็นำความรู้ความสามารถของตนเองไปต่อยอด โดยการทำธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ เช่น ปลูกผัก ขายอาหาร ทำงานฝีมือ หรือเป็นที่ปรึกษาบริษัทต่างๆ

เคล็ดลับการออมเงิน

ดังคำสอนที่ว่า “มีสลึง พึงบรรจบ ให้ครบบาท…” คำนี้เรามักได้ยินกันมาตั้งแต่เด็กๆ วันนี้เรามีวิธีการออมแบบง่ายๆ มาฝากกันนะคะ

1. เริ่มหยอดเงินใส่กระปุกทุกวัน ให้น้องๆ ตั้งเป้าหมาย เช่น หยอดเงินวันละ 5 บาท หรือ 20 บาท จากค่าขนมที่ได้รับ หากเป็นวัยทำงานอาจแยกหลายๆ กระปุก มีการติดป้ายระบุไว้ตามจุดประสงค์ เช่น ลงทุนธุรกิจ ท่องเที่ยว หรือเงินฝาก
2. เปิดบัญชีธนาคาร เริ่มต้นฝากเงินแบบออมทรัพย์ก่อน เพราะสามารถฝากหรือถอนเงินโดยไม่มีขั้นต่ำ หากรายได้และรายจ่ายคุณมั่นคง ค่อยๆ ขยับไปเปิดบัญชีฝากประจำ ซึ่งการฝากนี้จะต้องฝากเท่ากันทุกเดือนตามเงื่อนไขของแต่ละธนาคาร
3. ทำบัญชีรายรับ – รายจ่าย วิธีนี้ทำให้คุณเห็นรายการการใช้เงินของแต่ละวัน และค่าใช้จ่ายที่จำเป็น เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ หรือค่าประกันต่างๆ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และทำให้การออมของคุณได้ผลที่สุด
4. ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น หยุดตามกระแสโซเชียล โดยเฉพาะนักช้อปทั้งหลาย ควรเลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพ ราคาเหมาะสม ใช้งานได้จริง และศึกษารายละเอียดสินค้า ไม่หลงเชื่อคำโฆษณา พยายามยับยั้งใจไม่ให้คล้อยตามกับป้าย sale ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า หรือรองเท้า เป็นต้น นอกจากนี้ควรลดการทานบุปเฟ่ต์เพื่อความคุ้มค่า งดเข้าร้านอาหารหรูตามห้าง และหันมาปรุงอาหารทานเอง เพื่อช่วยรักษาสุขภาพทางการเงินและสุขภาพร่างกายของคุณด้วย สุดท้ายวางแผนสักนิดก่อนเดินทาง ไม่ว่าจะรถยนต์ส่วนตัวหรือรถสาธารณะ คุณควรศึกษาเส้นทางที่จะไป เพื่อประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
5. พกเงินน้อยลง มีเยอะก็ใช้เยอะ คุณควรคำนวณค่าใช้จ่ายรายวัน ได้แก่ ค่าอาหาร และค่าเดินทาง เพื่อไม่ให้ใช้เงินเกินตัว อ๋อ…พกเงินสดน้อยลง แต่มิใช่ไปใช้บัตรเครดิตนะจ๊ะ ควรใช้ในยามจำเป็น ไม่ใช้ซื้อของที่ฟุ่มเฟือยนะ เพราะยอดเล็กๆ น้อยๆ นี่แหละพอรวมมาแล้วจะจ่ายไม่ไหวเอา คุณจะจ่ายได้แค่ขั้นต่ำ ซึ่งทำให้ต้องเสียดอกเบี้ยตามมา
6. เพิ่มเทคนิคการออม เป็นวิธีที่ต้องอดทน เช่น เลือกเก็บธนบัตรใบใหม่ๆ ที่เพิ่งได้มาเสมือนยังไม่มีคนใช้, เจอแบงค์ 50 บาทจะไม่ใช้, เลือกเก็บแบงค์ที่มีหมายเลขตัวสุดท้ายเป็นเลข “9” หรือตัวเลขที่ชื่นชอบ, ออมเงินตามวันที่ หรือหักเงินออม 5% 10% จากค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เช่น ค่ากาแฟ ค่าบุปเฟ่ต์ หรือการช้อปปิ้ง
7. สร้างรายได้ การมีรายได้มากกว่าหนึ่งทาง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออมเงินของคุณให้ได้มากยิ่งขึ้น เช่น ลงทุนในกองทุนที่มีประสิทธิภาพ ขายของออนไลน์ สอนพิเศษ รับพิมพ์งาน หรือรับแปลบทความ เป็นต้น

นอกจากวิธีที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว “ความพอเพียง” เป็นสิ่งที่ทุกคนควรมี หากคุณรู้จักพออยู่ พอกิน พอใช้แล้วนั้น การออมเงินไม่ใช่เรื่องยากเลย เพียงแค่คุณมีวินัยและใส่ใจที่จะศึกษาหรือวางแผนการใช้เงิน คุณก็จะมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงได้

The post 7 เคล็ดลับ วิธีการออมเงินอย่างไรให้รวย สร้างแรงบันดาลใจสำหรับทุกวัยแบบง่ายๆ appeared first on คลังปัญญา.คอม.